
ศาล ไม่ให้ประกัน 2คนร้าย บุกอุ้มสาวทอม หลัง ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว พร้อมเงินสดคนละ 60,000 บาท ชี้พฤติกรรมอุกอาจ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย
เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2564 พนักงานสอบสวน สน.บางเขน ทำคำร้องฝากขัง ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ มาที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เพื่อขออำนาจศาลฝากขัง นายจักรกฤษณ์ ทองแผ่ อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 303 /2564 ลงวันที่10 ก.พ. 2564 กับ นายวศิน เกื้อกูล อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 304 /2564 ลงวันที่10 ก.พ. 2564 จากกรณีร่วมกันกับพวกอุ้มสาวทอมหน้าโรงงานผลิต ตัวตัดเทป ที่ตัดเทป เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่ 15-26 ก.พ. เนื่องจากยังต้องสอบสวนพยานเพิ่มเติมอีก 6 ปากและตรวจรอยพิมพ์นิ้วมือและประวัติต้องโทษผู้ต้องหา
พฤติการณ์ระบุว่า สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 64 มีคนร้ายเป็นชาย 3 คน ร่วมกันฉุดกระชาก น.ส.ศรัณ ผู้เสียหายจากหน้าคอนโดแห่งหนึ่ง แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน พาไปขึ้นรถยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแจ๊ส สีขาว และยึดโทรศัพท์มือถือ รุ่นไอโฟน 11 ราคาประมาณ 36,000 บาท นาฬิกาข้อมือ ราคาประมาณ 6,000 บาท ของผู้เสียหายไป
หลังจากนั้นกลุ่มคนร้ายได้ร่วมกันใช้กำลังทำร้ายร่างกาย ด้วยการชกต่อยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ มีบาดแผลฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง จากนั้นพาผู้เสียหายไปกักขังที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง เพื่อไปพบกับนายหฤษฎ์ ใจสุข ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ โดยบังคับให้ น.ส.ศรัณ ผู้เสียหายทำสัญญากู้เงินขึ้นมาใหม่ โดยเขียนระบุให้ผู้เสียหายเป็นหนี้เงินกู้ 3,500,000 บาท โดยขู่ว่าหากไม่ยอมลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินดังกล่าว กลุ่มคนร้ายจะนำผู้เสียหายไปโยนลงบ่อให้จระเข้กิน เป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดความหวาดกลัว จึงยินยอมลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินฉบับดังกล่าว ต่อมานายหฤษฎ์ ได้ขับรถพาผู้เสียหายมาส่งที่เดิม
และในวันที่ 4 ก.พ. นายวศิน และนายจักรกฤษณ์ ได้นำโทรศัพท์มือถือพร้อมเงินของผู้เสียหายมาคืนให้ เหลือแต่เพียงนาฬิกาข้อมือที่ผู้เสียหายยังไม่ได้รับคืนจากกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งได้ร่วมกันเอาไปโดยทุจริตผู้เสียหายจึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายจนกระทั่งจับกุมได้ในที่สุด
พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการ ไม่กระทำการหรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่นหรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจ ต้องกระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นโดยได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกข่มขืนใจทำเอกสารสิทธิ, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นหรือกระทำการด้วยประการใด ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายและให้ผู้อื่นนั้น กระทำการใดให้แก่ผู้กระทำ, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้นั้นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ร่วมกันลักทรัพย์โดยกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลากลางคืน” ทั้งนี้ในชั้นจับกุมและสอบสวน จักรกฤษณ์ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา แต่ นายวศินให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
โดยท้ายคำร้อง หากผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงและผู้ต้องหามีพฤติกรรมข่มขู่ผู้เสียหาย เกรงว่าหากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวจะหลบหนี และไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน รวมถึงอาจไปข่มขู่ผู้เสียหายในภายหลัง ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ต่อมาผู้ต้องหาทั้ง2 ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวพร้อมหลักทรัพย์ เป็นเงินสดคนละ 60,000 บาท
โดยศาลพิเคราะห์เเล้วเห็นว่า คดีนี้ลักษณะการกระทำเป็นการอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ประกอบกับพนักงานสอบสวนได้คัดค้านจึงเกรงว่า หากปล่อยไปจะยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั้วคราวคืนหลักทรัพย์ จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง2ส่งควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯในชั้นฝากขัง