เปิดทุกช่วงชีวิตของพิธีกรชื่อดังอย่าง วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา เจ้าของโรงงานจำหน่าย เทปใส / เทปกาว ที่จะมานั่งเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองใน รายการ Level Up ที่ออนแอร์ทางช่องยูทูบ Thairath Online Originals ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00 น.
ซึ่ง วู้ดดี้ วุฒิธร ได้เปิดใจเล่าแบบหมดเปลือกถึงชีวิตในแต่ละช่วงวัยของตัวเอง ตั้งแต่วัยเด็กที่ต้องถูกบูลลี่และทำร้ายเพราะเป็น LGBTQ และเริ่มทำตามความฝันของตัวเองที่อยากจะเป็นนักแสดงแต่ได้เป็นดีเจที่คนไม่ชอบมากที่สุด จนถึงวันหนึ่งที่เริ่มเหนื่อยและมีคำถามกับตัวเอง จนต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ และได้พบกับความสุขในชีวิตให้ฟังว่า
“เกมโอเวอร์ก็เริ่มต้นได้ใหม่ เวลาล้มก็ต้องลุก เวลาเศร้าก็ต้องอัปตัวเองขึ้นมา ต้องยอมรับว่าชีวิตมีความหลากหลาย ความสนุกคือเราได้เห็นทุกอย่างเลย ก่อนหน้านี้ไม่อยากเห็นความทุกข์ ไม่อยากเห็นความเศร้า แต่พอมันมาก็รู้สึกว่าเจ๋งดี พอสุขมาเดี๋ยวมันก็ไป แค่จอยกับมันไปเรื่อยๆ ถ้าคาดหวังมันจะเหนื่อยมาก และจะผลักดันเหมือนที่เราเป็นมาตลอด 20 กว่าปีในชีวิต จะไปข้างหน้าตลอดจนหายใจไม่ออก ชีวิตไม่ใช่แต่จะเลเวลอัป ดาวน์บ้างก็ได้ ก็แค่ทำตัวเล็ก ตอนนี้เรามีพลังเยอะมาก ก็จะรู้สึกว่าตัวใหญ่ พอหมดพลังก็จะตัวเล็ก แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่มีความสุข”
“สู้ชีวิตตั้งแต่เด็ก ภาพที่มีความสุขที่สุดคือตอนที่อยู่สิงคโปร์ คุณพ่อเป็นนักการทูต ก็จะพาเราไปประเทศต่างๆ มีความสมบูรณ์แบบมาก ในอดีตจะนึกถึงการอยู่ด้วยกันแค่ 4 คน ต้องปรับจูนกับสังคม มีความท้าทาย เจอการเหยียด ถามว่าขี่ช้างไปโรงเรียนหรือเปล่า จนเข้าไฮสคูล ก็ถูกบูลลี่เพราะว่าเราชัดเจนว่าเป็น LGBTQ คนไม่เห็นด้วยในสมัยนั้นก็จะลงไม้ลงมือ ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาทำเพื่ออะไร และก็ได้คำตอบว่าเขาก็แค่ไม่เข้าใจ”
“เราไม่เหมือนเขา เขาไม่เหมือนเรา เราต้องเข้าใจเขา มันซับซ้อนมากเลยนะ ถ้ามองว่าเราเหยื่อ เราจะทุกข์มาก ก็แค่เปลี่ยนความคิด การโดนบูลลี่ การโดนเหยียดก็ทำให้เราผ่านทุกอย่างได้ ทำให้รู้สึกแกร่ง โดนปฏิเสธก็ต้องไปต่อ”
“เราอยากเล่นละครเวทีมาก ไปสมัครก็ไม่ผ่าน เราก็โอเค ไม่เป็นไรก็สมัครต่อไป แคสต่อไปเรื่อยๆ เพิ่งรู้ตัวว่าฝันจริงๆ คืออยากเป็นนักแสดง การเป็นพิธีกรเป็นแค่สิ่งที่เราทำได้ดี ตอนอายุ 10 กว่าขวบก็ไล่ล่าหาฝัน พอกลับมาไทย ฝันนั้นก็ถูกตัดไปเลย เพราะตอนที่กลับมาคือพูดไม่ชัด กลับมาก็มีครูสอนพิเศษภาษาไทย เพื่อที่จะพูดให้ชัดๆ ตอนเด็กๆ เป็นการใช้ชีวิตที่มีความสุขที่สุดเพราะได้ตามหาฝันด้วย”
“พอกลับมาไทย ชีวิตตอนนั้นมึนๆ งงๆ แต่มีความสุขมากเพราะได้กลับมาอยู่กับยาย พอกลับมาก็ต้องมาหาเพื่อนใหม่ เป็นอะไรที่ท้าทาย และก็ถูกสังคมตั้งคำถามว่าเราเป็นหรือไม่เป็น เพราะเราต้องเก็บ ตอนอยู่ที่อเมริกาเราก็มีแฟนที่พ่อกับแม่ไม่ทราบ พอกลับมาเมืองไทยก็จะเริ่มต้นใหม่ เราจะเป็นผู้ชายแล้วจะชอบผู้หญิงเพื่อสังคมจะได้ยอมรับ แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่าเราต้องจริงใจกับตัวเอง ก็เลยเป็นตัวของตัวเอง”
“มองย้อนกลับไป พ่อแม่รักเรามาก เป็นอะไรก็ได้ ลึกๆ คุณยายรู้ตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว คิดว่าความอบอุ่นที่ผู้ใหญ่มีให้กับเราเป็นตัวของตัวเองที่บ้าน มันจึงเป็นพื้นที่ปลอดภัย เลยกล้าไปเผชิญกับสังคมได้”